รายงานการอบรม

HRD ๑๒

แบบประเมินผลการไปประชุม /อบรม / สัมนา / ศึกษาดูงานภายนอกโรงพยาบาล

ส่วนที่ ๑ แบบประเมินผลตนเอง (ส่งภายใน ๒ สัปดาห์)

๑. ชื่อ - นามสกุล :: นายนฤเบศร์ กิตติเวช แผนก / หน่วยงาน :: อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ( ER )

ตำแหน่ง :: พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

วันที่เริ่มอบรม :: 18 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 08:30 น.

วันที่สิ้นสุดการอบรม :: 20 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 16:30 น.

หัวข้อการอบรม :: อบรมระยะสั้นเรื่องพยาบาลผู้ประสานงานด้านการดูแลผู้บาดเจ็บ (Trauma Nurse Coordinator )

หน่วยงานผู้จัด :: โรงแรมเอสดี อเวนิว ปิ่นเกล้า กทม.

ประเภทการอบรม :: ภายใน วิทยากร :: ไม่เป็นวิทยากร

เบิกค่าใช้จ่ายจาก รพ. :: 6720.00 บาท เบิกค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานผู้จัด :: 0.00 บาท

๒. สรุปความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ::

นโยบายกระทรวงสาธารณสุข ปี 2559 
Service Plan : Trauma & Emergency  (ECS  System ) 
- Trauma Emergency 
-Non Trauma Emergency
-Disaster Mannagement 
งานปฏิบัติการปี 2559  เน้นหนัก  การลดอุบัติเหตุทางถนน เป้าหมาย ลดการตายลงครึ่งหนึ่งจากปี 2553 ภายในปี 2563  เสียชีวิติน้อนกว่า 10,000  รายต่อปี 
1. ระบบข้อมูล (Information power ) 
    1.1  บูรณาการข้อมูล 3 ฐาน ลงนามร่วมกับตำรวจและบริษัทกลาง
     1.2 สอบสวนสาเหตุการตาย นำเสนอข้อมูลศูนย์ถนนระดับจังหวัดและระดับอำเภอเพื่อให้ป้องกันอุบัติเหตุ 
2. การป้องกัน 
    2.1 แก้ไขจุดเสี่ยง
    2.2 การบังคับใช้กฏหมาย หมวกกันน๊อก  ความเร็ม ดื่มสุรา คาดเข็มขัดนิรภัย 
3. การรักษาพยาบาล
     3.1 จัดตั้งศูนย์อุบัติเหตุในโรงพยาบาลทั่วไป
      3.2 ระบบ EMS
      3.3 ห้อง  ER
4. การบริหารจัดการ
    4.1 สธฉ. เปิด  EOC ติดตาม
     4.2 M/E หา best practice 
     4.3 มีศูนย์ถนนระดับจังหวัด   อำเภอ

ตัวชี้วัดปี 2559 ด้าน Trauma 
    1. ผู้ป่วยเสียชีวิติจากอบัติเหตุทางถนน ไม่เกิน 16  ต่อแสนประชากร 
    2. อัตราตาย ผป. บาดเจ็บทางสมองลดลง 
    3. อัตราการเสียชีวิติ ผป. ใน ที่มีค่า PS มากกว่า หรือเท่ากับ 0.75 (รพ.ระดับ A )
    4. อัตราส่วน ผป.สีแดง และ Fast tract มาด้วยระบบ EMS 
     5. อัตราการเสียชีวิติของ ผป. ฉุกเฉินที่รับไว้ในโรงพยาบาลภายใน 24  ชม. 
     6. มีการประเมินความเสี่ยง & จัดทำแผนรองรับภัยภิบัติระดับหน่วยบริการ อำเภอ จังหวัด เขต 
     7. Trauma & Emergency Admin Unit  (T&EA  Unit ) implementation
     8. ER คุณภาพ 
ระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยบาดเจ็บของไทยได้ประยุกต์รูปแบบการดุแลผู้บาดเจ็บครบวงจร (Inclusive Trauma System ) ประกอบด้วย 
     1. การป้องกันและรณรงค์เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ
     2. การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บก่อนนำส่งโรงพยาบาล
     3. การดูแลรักษาภายในโรงพยาบาล
     4. การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจ 
การดูแลผู้บาดเจ็บแบบครบวงจรเป็นการดูแลอย่างเป็นระบบและมีการทำงานสอดประสานของผู้ให้บริการสุขภาพ  เพื่อให้มีประสิทธิภาพของการให้บริการ ระบบการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บจึงต้องมีหน่วยบริหารจัดการผู้ป่วยบาดเจ็บ (Trauma Administration
 Unit )  เพื่อพัฒนาคุณภาพงานบริการสุขภาพผู้ป่วยบาดเจ็บ  ซึ่งจะมีการจัดตั้งในโรงพยาบาล A S M1  ทุกแห่ง ภายในระยะเวลา 3 เดือน ในปี 2559

บทบาทหน้าที่ของหน่วยบริหารจัดการผู้ป่วยบาดเจ็บและฉุกเฉิน  
(Trauma administration Unit )
- การวิเคราะห์/สังเคราะห์  เป็นการวิเคราะห์งานทั่งเชิงปริมาณและคุณภาพ  ตั้งแต่โรงพยาบาล ชุมชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงจากชุมชนสู่โรงพยาบาลและจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน 
- การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ  ทั่งในชุมชน และข้อมูลจากโรงพยาบาลที่เป็นฐานข้อมูลจาก Trauma registry   นำมาวิเคราะเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตอบสนองต่อการแก้ปัยหาหรือพัฒนางาน 
-การประสานงาน  พยาบาลวิชาชีพผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่ง  Trauma Nurse coordinator  เป็นผู้ที่มีบทบาทในการประสานงานกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล และความร่วมมือ เช่น งานป้องกันอุบัติเหตุในชุมชนเป็นต้น 
-การติดตาม(monitoring) และประเมินผล (Evaluation)
-การพัฒนาเครือข่าย

บุคลากรขับเคื่อนบริหารจัดการงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 
    1. แพทย์  เป็นผู้อำนวยการศูนย์ 
    2. พยาบาลวิชาชีพเป็นพยาบาลผู้ประสานงาน  (Trauma nurse coordinator )
    3. เจ้าหน้าที่ธุรการ  อาจเป็นนักวิชาการ นักคอมพิวเตอร์ เพื่อการบันทึกข้อมูล จัดการข้อมูล

บทบาทหน้าที่และสมรรถนะของพยาบาลผู้ประสานงาน ดังนี้ 
   1. Data management  เก็บข้อมูลและใช้ฐานข้อมูลการบาดเจ็บและฉุกเฉิน โดยมีความรู้และทักษะ ดังนี
          - ความรู้สถิติเบื้องต้น การสร้างฐานข้อมูล ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์
           -  trauma registry   รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล นำเสนอข้อมูล 
           -  ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
           - มีความรู้ด้านการจัดเก็บ วิเคราะห์   นำมาใช้ปรับพรุงพัฒนาเผยแพร่
           - การใช้ประโยชน์จากข้อมูลสู่การพัฒนางาน (วิจัย   ทำโครงการ ) 
            -ทักษะในการนำเสนอข้อมูลเพื่อการ Advocacy 
            - สามารถนำข้อมูลมาประมวลผลเป็นข้อมูลทางสถิติ
            - ใช้ข้อมูลจัดเก็บมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงงานผ่นกระบวนการวิจัย 
  2. Coordination /Comunication 
       -  มีความรู้เกี่ยวกับผู้เกี่ยวข้องและบทบาทหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการดูแลผู้บาดเจ็บและฉุกเฉิน
       - มีความรู้ด้านคลินิกเกี่ยวกับการดูแลผู้บาดเจ็บ
       -มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสาร
       - มีความรู้ในการสือสารอย่างมีคุณภาพ
        - ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ
       - ทักษะสื่อสารเพื่อการประสานงาน 
       -ทักษะการใช้คำพูดอย่างสร้างสรรค์ในการติดต่อประสานงาน
       -ทักษะการใช้เครื่องมือสื่อสารและเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเสมอ 
  3. Create and innovation  การสร้างและใช้นวัตกรรม/เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยระยะฉุกเฉิน 
  4. way of Thinking  การวิเคระหืเชิงตัวเลขและเชิงระบบ โดยต้องมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล จัดการความเสี่ยงและสถานการณ์ฉุกเฉิน  โดยมีทักษะดังนี้ 
          - การบริหารจัดการ การคิดวิเคราะห์เชิงต้วเลข การวิเคราะห์เชิงระบบ
          - ความรู้เกี่ยวกับนโยบายสุขภาพ /โครงสร้าง  Process of care 
          - การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ  นำข้อมูลมาพัฒนางาน 
          - การตรวจสอบข้อมูลทางเวชระเบียน เมื่อพบข้อผิดพลาดที่ทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บมีภาวะคุกคามต่อชีวิติ 
           - สะท้อนข้อมูลกับหน่วยงานและทีมสหสาขาวิชาชีพ
           - การคาดการณ์ภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแต่ละกลุ่มโรค และมีการจัดการความเสี่ยงเชิงระบบ
  5. Active and Sensitive 
           - เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง  เป็นสื่อกลางเครือข่าย 
           - ตื่นตัวในเรื่องความรู้ งานวิจัยที่ทันสมัย
            - ตื่นตัวให้ทันข่าวสารที่เป็นปัจจุบัน เช่นเรื่องโรค  พยาธิสรีรวิทยาอุบัติการณ์ใหม่
          - มีความรู้กฏหมายวิชาชีพและกฏหมายทั่วไป
          - มีความไว และระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูล 
  6. Clinical care  พยาบาลผู้ประสานงานต้องมีความรู้เชิงลึกของพยาธิสภาพการเปลี่ยนแปลงสรีระของผู้บาดเจ็บ โดยมีความรู้ทักษะดังนี้ 
          - ความรู้ด้านกลุ่มโรคสำคัญของผู้บาดเจ็บและฉุกเฉิน สามารถคาดการณ์การดำเนินโรคและภาวะแทกซ้อนได้ 
           -  ความรู้การจัดการ ระบบการจัดการ 
            - ความรู้ ATLS
             - ความรู้ในงานด้านการวิจัยทางคลินิก
            - ความรู้ในการป้องกันอุบัติเหตุ
            -เป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงาน   เช่น Trauma audit  R2R 
             - การพัฒนา Protocol  Guideline และนวัตกรรม